การระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา: เวลาที่กำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว
โดย Prof. Muhammad Yunus
ขอให้ทุกคนให้ความสำคัญเรื่อง “เวลา” เพราะมันกำลังจะหมดลง
… ในทุก ๆ ช่วงเวลากำลังผ่านไปนั้น เรากำลังเสียโอกาสที่เรามีอยู่

หากเราสามารถเข้าใจความรุนแรงของสงครามไวรัสโคโรน่าครั้งนี้ เราก็จะสามารถเตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม เห็นได้ว่าทุกคนยังคงดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าเราไม่สามารถนำเสนอภาพของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ให้ทุกคนได้รับรู้ในช่วงข้ามคืน เพราะถ้าเราทำให้ทุกคนเข้าใจในความจริงที่เกิดขึ้น เราจะสามารถกระตุ้นให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที หากพวกเขารู้ว่าชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง พวกเขาจะพร้อมที่จะแลกทุกอย่างเพื่อชีวิตของพวกเขา มันไม่มีการเสียสละที่มากเกินไป เราต้องทำให้ทุกคนพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อทุก ๆ ชีวิต เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่มีโอกาสให้ยอมแพ้ เพราะการยอมแพ้ หมายถึงความทุกข์ทรมานและการสูญเสียจำนวนมาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งรับไม่ได้ เราต้องเตรียมพร้อมที่จะปกป้องทุกคน เราต้องเตรียมพร้อมด้วยการเตรียมองค์กร และการจัดการที่ดีที่สุดที่เรามีในทุก ๆ ที่ของประเทศนี้
มันน่าประหลาดที่เห็นชัยชนะของการระบาดครั้งใหญ่นี้ จากมุมหนึ่งไปทั่วทุกมุมโลกด้วยความรวดเร็ว ประเทศจีนได้รายงานโรคที่ไม่มีใครรู้จักนี้ ไปยังสำนักงานปักกิ่งขององค์การอนามัยโลกในวันที่ 31 ธันวาคม 2019 และวันนี้คือวันที่ 22 มีนาคม 2020 นับจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้ว 82 วัน ใน 82 วันที่ผ่านมา ไวรัสนี้ได้ทำลายโลกทั้งใบไปหมดแล้ว กองทัพ และกองทหารในหลายๆ ประเทศ ได้รับการเรียกตัวให้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และก็มีหลายประเทศกลายเป็นอัมพาตภายในพริบตา มันบังคับให้คนต้องหลบอยู่ในบ้าน แยกตัวเองออกจากงานของพวกเขา และห่างจากคนใกล้ตัวเป็นเวลาหลายวัน
รัฐบาลหลายแห่งได้ออกนโยบายการรับมือกับภาวะวิกฤตนี้ด้วยเงินหลายล้านดอลลาร์ โดยหัวหน้ารัฐบาลทุกระดับออกสื่อ เพื่ออธิบายต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนการรับมือและการสนับสนุนในกรณีฉุกเฉินร้ายแรง ทุกพรรคการเมืองในรัฐสภาจะมีมติเป็นเอกฉันท์ผ่านกฎหมาย เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์นี้ ตอกย้ำให้แน่ใจว่าผู้คนวางใจในพวกเขา อยู่ในความสงบ มีระเบียบวินัย และปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็มากกว่าหนึ่งประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและตัวเมือง ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับไวรัสนี้ ขณะนี้ ผู้คนทั่วโลกกำลังเฝ้าดูความเป็นไปของไวรัสโคโรน่านี้ด้วยความกังวลอย่างที่สุด ต้องคอยสอดส่องดูว่าเกิดอะไรขึ้น กับใคร และก็ต้องตกตะลึงด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็โล่งใจที่ได้เห็นจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ ยังคงเป็นศูนย์ในบางวัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใน 82 วันนี้ ได้เปลี่ยนโลก ‘ธรรมดา’ ไปสู่โลกที่ทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังสยองขวัญฮอลลีวู้ด ไม่มีใครรอดพ้น
พวกเรานั้นโชคดี
บังคลาเทศเราโชคดีที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่ประสบเหตุการณ์วิกฤตนี้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่เราเห็นสัญญาณ เป็นลางไม่ดีของมันเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในประเทศของเรา เราต้องขอบคุณที่เรามีเวลา 82 วันในการติดตามทุกประเทศที่ถูกทำร้ายด้วยโคโรน่าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และแต่ประเทศกำลังดิ้นรนด้วยความเฉลียวฉลาด วิทยาศาสตร์ ทักษะในการจัดการ และความมุ่งมั่น เรามีเวลา 82 วันในการเรียนรู้และเตรียมความพร้อม นั่นคือข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของเราในการทำสงครามต่อต้านกับโรคร้ายแรงนี้


ไวรัสโคโรนาไม่มีความปราณี
เป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องการทราบจำนวนผู้ติดเชื้อที่เข้าสู่ประเทศหรือภูมิภาค โดยผมให้ความสำคัญกับผู้นำสองคน คนแรกคือ นายกรัฐมนตรี Angela Merkel แห่งเยอรมนี เธอเป็นคนตรงไปตรงมาและกล้าหาญมาก ก่อนที่คนเยอรมันจะรู้จักกับความน่ากลัวของโคโรน่าไวรัส เธอได้บอกคนทั้งประเทศล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอบอกตรงๆ ว่า 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเยอรมนีจะต้องติดเชื้อ
ประมาณการล่าสุดที่ผมอยากนำเสนอ มาจากผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ในคำพูดของเขาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2020 เขาแจ้งประชาชนของรัฐว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จำนวนผู้ติดเชื้อในแคลิฟอร์เนียจะสูงถึง 25 ล้านคน นั่นถือเป็น 56 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในรัฐ บุคคลแรกที่ติดเชื้อในรัฐแคลิฟอร์เนียถูกระบุเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2020 หรือสองเดือนที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า ในเวลาเพียงสี่เดือนจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจาก 25 คนเป็น 25 ล้านคน เหล่านี้แสดงถึงอัตราที่เพิ่มขึ้นแบบเท่าตัวอย่างรวดเร็วในช่วงพริบตา และชี้เห็นว่าไวรัสชนิดนี้ไม่ปราณีใคร
เหตุการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากเปรียบกับทุกประเทศทั่วโลก ประเทศที่สามารถต่อสู้กับโคโรน่าได้ดีกว่าและถือว่าประสบความสำเร็จมากกว่า มักมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจีนที่เป็นจุดเริ่มต้น ถือว่าประสบความสำเร็จในการจัดการโรคระบาดครั้งนี้ เนื่องจากรายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยรายใหม่หยุดมาหลายวันแล้ว พวกเขาประสบความสำเร็จใน 82 วัน
ประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการไวรัสโคโรน่า ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ประเทศที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ใช้กลยุทธ์ร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวอย่างแน่วแน่ กลยุทธ์ที่ว่านี้คือ การระบุผู้ติดเชื้อ และแยกตัวผู้ติดเชื้อออกมาอย่างสมบูรณ์ ไวรัสจะไม่แพร่กระจาย หากการติดเชื้อหยุดลง

หากเราปล่อยให้คนหนึ่งแพร่เชื้อไปยังอีกคนหนึ่ง จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สถิติระบุว่า ถ้าคนหนึ่งแพร่เชื้อไปติด 2.5 คน ทุก ๆ 5 วัน เท่ากับว่าเขาเพียงคนเดียวจะสามารถแพร่กรจายเชื้อไปยัง 406 คนภายใน 7 วัน
ประเทศที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ ระดมกำลังทั้งหมดเพื่อระบุผู้ติดเชื้อและแยกพวกเขาออกจากคนอื่น ผลก็คือ กลุ่มคนจำนวนมากในประเทศของพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งทุกวันนี้ ประเทศเหล่านั้นไม่มีการระบาดอีกต่อไปแล้ว ส่วนประเทศที่ล้มเหลวในการนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ อย่างเช่น อิตาลี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา สเปน และสวิสเซอร์แลนด์ สถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ คือไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตในอิตาลีสูงทะลุแซงหน้าประเทศจีนที่ซึ่งประชากรมากว่าไปแล้ว

แล้วประเทศบังคลาเทศจะเป็นอย่างไร?
บังคลาเทศจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเรา เราได้เสียโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย เราต้องระบุผู้ติดเชื้อในประเทศและแยกพวกเขาออกจากคนอื่น ถึงจะไม่สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เรายังคงช่วยชีวิตได้อีกมากมาย ทุกชีวิตนั้นสำคัญ เราต้องอุทิศอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการติดเชื้อนี้ เราไม่จำเป็นต้องรอให้มีการประมาณเปอร์เซ็นต์ประชากรที่จะติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราทุกคนรู้ว่าไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรบังคลาเทศก็ถือว่าเป็นจำนวนที่รับไม่ได้
ลองคิดดูให้ดี!
ไวรัสโคโรนาจะมาถึงบังคลาเทศหรือไม่?
คำตอบคือใช่ และใกล้เข้ามาทุกที มันไม่มีตัวอย่างในโลกและยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ติดเชื้อเพียงไม่กี่คนในหนึ่งวัน และมีคนติดเชื้อมากขึ้นในวันต่อ ๆ มา จากประสบการณ์ทั่วโลก คือมันเริ่มต้นจากเพียงไม่กี่จุด แต่ถ้าคุณปล่อยให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นสึนามิในอีกไม่กี่สัปดาห์
แล้วเราจะระงับสึนามินี้ได้อย่างไร? ประเทศที่ประสบความสำเร็จ แสดงให้เห็นถึงวิธีการแล้ว ด้วยการระบุผู้ติดเชื้อ และแยกออกจากคนอื่น ระบุผู้ติดเชื้อ และแยกออกจากคนอื่น ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นหลักที่องค์กรอนามัยโลก (WHO) ก็เน้นย้ำเช่นนี้เป็นสากล
หลักการนี้ ทำให้เรานึกถึงคติชนวิทยาที่ว่า รองเท้าถูกประดิษฐ์ขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อที่จะทำให้เท้าของเขาปลอดจากฝุ่น กษัตริย์สั่งให้อาสาสมัครกวาดทั่วทั้งประเทศ จากความเหนื่อยล้า จึงได้มีการเสนอว่า ทำไมกษัตริย์ไม่หาอะไรมาปกปิดเท้าและคอยระวังอย่าให้โดนฝุ่น กษัตริย์ชอบใจและหาทางทำจนสำเร็จ แนวคิดของรองเท้าจึงเกิดขึ้น
ทำไมต้องเริ่มลงมือหลังจากที่ทุกคนติดเชื้อ ทำไมเราไม่เริ่มที่ต้นกำเนิดของการติดเชื้อ และกันให้ห่างจากคนจำนวนมาก ในตอนแรกผู้ติดเชื้อมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งทำงานได้ปกติมาก แต่คนติดเชื้อเหล่านั้นจะนำไปสู่การติดเชื้อของอีกหลายล้านคนหากพวกเขาไม่ถูกระบุตัวและแยกออกจากคนอื่น เราพลาดโอกาสนั้นที่สนามบิน เมื่อผู้ติดเชื้อเริ่มเดินทางมาจากประเทศที่ติดเชื้อ ตอนนี้พวกเขากระจายไปทั่ว และไม่สามารถระบุตัวได้ เปรียบเหมือนว่า เราปล่อยอสูรกายออกมากจากขวด และต้องเอามันใส่กลับคืน ถือเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเราในตอนนี้
มันเห็นได้ชัดว่า มันสายไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมแพ้ การยอมแพ้นั้นหมายถึงการฆ่าตัวตายหมู่ เรายังคงพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อชะลออัตราการติดเชื้อและชะลออัตราการตาย เราต้องมอบทุกสิ่งที่เรามีเพื่อทำให้สำเร็จ ในฐานะคนของประเทศ
น่าเสียดายที่เราไม่มีชุดอุปกรณ์เพียงพอที่จะระบุผู้ติดเชื้อ แต่เราสามารถเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เรามี การระบุแม้แต่คนเดียวก็เป็นสิ่งสำคัญ หากเราสามารถแยกเขาออกไปได้ เราจะปกป้องคนนับพันในสัปดาห์ถัดไป เราจะต้องไม่เพิกเฉย พรุ่งนี้ การมีส่วนร่วมในการต่อสู้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เราจะต้องร่วมมือในระดับชนนานาชาติเพื่อรับชุดอุปกรณ์เพิ่มเติม ผู้คนจะกระตือรือร้นที่จะรู้ว่ามีกี่คนที่ถูกระบุในแต่ละวัน ผู้คนจำเป็นต้องได้รับแจ้งเพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วม
ทุกคนรู้วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า ต้องขอบคุณเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่เราไม่ได้เร่งรีบมากพอ เรารู้ว่ามันคืออะไร แต่เราไม่ได้ใช้ความรู้ของเรา เรากำลังบอกว่าระยะห่างทางกายภาพเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยตัวเองและช่วยผู้อื่นจากไวรัสนี้ แต่เรากลับจัดการประชุมเพื่อประกาศคำแนะนำเหล่านี้ ซึ่งเหมือนเป็นการฆ่าสาระสำคัญของคำประกาศนั้น ไม่มีความสอดคล้องระหว่าง สิ่งที่เรากำลังพูดกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ โคโรน่าไวรัสยังคงเป็นเพียงหัวข้อการสนทนา บทความข่าวและรายการทอล์กโชว์ทางทีวี เรากำลังเฝ้าดูสิ่งเหล่านี้และอ่านสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเราดูและอ่านข่าวจากประเทศที่ห่างไกล เราไม่รู้สึก เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวหรือคนในบ้าน ผมจะไม่แปลกใจ ถ้ารู้ว่าเร็ว ๆ นี้ ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ผมอาจเป็นสาเหตุของการตายของสมาชิกในครอบครัว หรือ หนึ่งในนั้นอาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผม เพราะยังคงไม่มีการตระหนัก ว่าการช่วยเหลือคนอื่นคือต้องป้องกันตัวเองจากไวรัส
มีการให้คำแนะนำมากมายทุกวัน แต่ผู้คนไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านั้น แม้แต่คนที่ให้คำแนะนำ ไม่เพียงแต่ละเลยต่อคำแนะนำเหล่านั้น แต่ยังเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยไม่รู้สึกผิด ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่เราควรต่อสู้กับศัตรูอย่างหนักที่สุด มันเป็นเวลาที่จะสร้างความมุ่งมั่นของประเทศด้วยความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ เรายังไม่เห็นการทำงานตลอดเวลาอย่างอดหลับอดนอน หรือไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าว เพื่อสร้างเกราะป้องกันจากสิ่งที่มาจากทั่วโลกอย่างสึนามิที่เราทุกคนเห็นว่ามันกำลังมา สิ่งเดียวที่เห็นเวลานี้ คือ เราขาดความปฏิบัติอย่างเร่งด่วน และมีแต่ความกังวลในทุกๆ ที่
ผมมีคำถามอยู่หนึ่งข้อ เราไม่อยากช่วยสมาชิกครอบครัว ญาติ เพื่อนของเรา และแม้แต่ตัวเราเอง ที่เราแสดงออกว่าไม่สนใจที่จะหยุดมัน? หรือเราอยู่ในโลกแห่งความฝัน ที่เราคิดว่าฝันร้ายนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หรือเราคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างข่าวปลอม
การเว้นระยะห่างทางสังคม
ด้วยการร่วมตัวทางสังคมที่แข็งแกร่ง
เยาวชนมุ่งมั่นที่จะช่วยชีวิตผู้คนในภัยพิบัติทุกประเภทของบังคลาเทศมาโดยตลอด คุณรู้ประวัติศาสตร์ของเยาวชนในประเทศนี้ คุณนำประวัติศาสตร์นี้ไปสู่จุดสูงสุด โดยเอาชนะศัตรูที่อันตรายที่สุดและมองไม่เห็นของโลก นั่นก็คือไวรัสโคโรน่า วันนี้เป็นวันของคุณแล้ว จงรับมันไว้ คุณให้ความเป็นผู้นำแก่เยาวชนทั่วโลกที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน คุณจะเป็นพลังพิเศษในการต่อสู้ครั้งนี้ อย่าปล่อยผ่านมันไป
สิ่งนี้ใช้ได้กับเด็กทุกคน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือต่างประเทศ ทุกคนสามารถเข้าร่วมการริเริ่มในระดับหมู่บ้านหรือระดับชุมชนได้ ผู้ที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ ก็สามารถจัดระเบียบตัวเอง เพื่อจัดเตรียมความคิด และการสนับสนุนต่าง ๆ เผยแพร่ไปยัง ผู้ที่มีส่วนร่วมเชื่อมโยงกับบังคลาเทศ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนชาวต่างชาติ คู่ค้าทางธุรกิจ สถาบันต่างๆ เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อชุมชน สิ่งนี้จะทำให้คุณใกล้ชิดกับคนที่คุณอยากให้ความช่วยเหลือยิ่งขึ้น
จนถึงตอนนี้ เราพูดกันไม่หยุดเกี่ยวกับการเว้นระยะห่างทางสังคม และความสำคัญถึงการต่อสู้กับไวรัสโคโรน่านี้ แต่เราต้องการให้ความสำคัญกับการร่วมตัวทางสังคมอย่างเท่าเทียมกัน มันเป็นความรู้สึกที่ เพื่อนของเราจะช่วยให้เราอยู่รอด ไม่มีกลยุทธ์ในการเอาชีวิตรอดของปัจเจกบุคคลโดยปราศจากความอยู่รอดของทุกคน กุญแจสำคัญคือ การเว้นระยะห่างทางสังคมบนรากฐานที่แข็งแกร่งของการรวมกำลังทางสังคม เราต้องทำให้แน่ใจว่าผู้มีรายได้ต่อวันไม่ต้องออกจากบ้านเพื่อหาเลี้ยงชีพ การร่วมมือทางสังคมนี้ ต้องค้นหาวิธีที่ครอบครัวมีฐานะ สามารถดูแลครอบครัวยากจนได้ เพราะถ้าต้องออกไปหาเลี้ยงชีพ มันจะไม่ปลอดภัยสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน

นักเรียนและเยาวชน
ความหวังของผมอยู่ที่เยาวชนของประเทศนี้เสมอ นี่คือเวลาสำหรับพวกเขา ที่จะยืนขึ้นและช่วยครอบครัวของเราและประเทศของเรา ผมขอร้องให้เยาวชนออกมาข้างหน้า และสร้างความคิดริเริ่มตามที่พวกเขารู้สึกว่าเหมาะสม เยาวชนในปัจจุบันเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม คุณมีเทคโนโลยีที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน คุณสามารถนำโลกทั้งใบมารวมกัน ระดมเยาวชนของบังคลาเทศ ระดมเยาวชนของทั้งโลก ช่วยโลก ช่วยบังคลาเทศ ช่วยมนุษยชาติ สร้างโลกในแบบที่คุณต้องการ ตระหนักถึงพลังที่คุณมี นี่เป็นเวลาที่จะใช้มันแล้ว หากคุณไม่ใช้มันตอนนี้ คุณจะไม่มีวันได้ใช้มันอีก คุณรู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร จงทำมัน เหล่านี้คือครอบครัวของคุณ คุณจะได้ช่วยเหลือ พ่อแม่คุณ เพื่อนของคุณ ญาติของคุณ คุณจะไม่ได้รับโอกาสที่ดีกว่าในการแสดงศักยภาพของคุณกว่าตอนนี้ สร้างองค์กรของคุณเอง สร้างแผนของคุณเอง มอบหมายความรับผิดชอบระหว่างกัน หากคุณอาศัยอยู่ในเมือง สร้างเครือข่ายในถนนของคุณ ในละแวกของคุณ ให้เชื่อมต่อซึ่งกันและกัน

นักเรียน
สถาบันการศึกษาได้ถูกปิดในขณะนี้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ดี นักเรียนจะได้รับโอกาส มีส่วนร่วมกับครอบครัว เพื่อน และเพื่อนบ้านของพวกเขา นักเรียนรุ่นน้องสามารถร่วมมือกับนักเรียนรุ่นพี่ และเยาวชนคนอื่น ๆ เพื่อดำเนินการเฝ้าระวัง และเพื่อช่วยชีวิตครอบครัวของพวกเขา การมุ่งเน้นจะทำให้แน่ใจว่า ไวรัสไม่สามารถแอบเข้าไปได้ ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับ คนชรา คนที่มีโรคประจำตัว ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ คนพิการทางร่างกายและจิตใจ และคนจน
ในโซเชียลมีเดีย นักเรียนอาจแบ่งปันข้อมูลทั้งหมด ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และประสบการณ์ของพวกเขา สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว พวกเขามีการแลกเปลี่ยนคำแนะนำ และให้กำลังใจระหว่างกันภายในประเทศและนอกประเทศ
ตั้งเขตฟรีและรักษาให้ฟรี
จากการพิจารณาทั้งหมด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรากำลังเผชิญกับภัยพิบัติระดับชาติ มันจะอยู่ในระดับที่มีศักยภาพในการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของชีวิตส่วนใหญ่ แม้ว่าไวรัสโคโรน่า จะไม่กลายเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เราต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ในระหว่างการรุกรานโดยอำนาจจากต่างประเทศ เป็นเรื่องปกติที่กองกำลังต่อต้านจะจัดตั้ง “พื้นที่ที่ถูกปลดปล่อย” หรือ “เขตปลอดอากร” ซึ่งไม่ได้ถูกควบคุมโดยกองทัพที่บุกรุก สิ่งนี้จะช่วยให้ขวัญกำลังใจของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในระหว่างการรุกรานของโคโรน่า เราสามารถตั้งค่าเขตพื้นที่ฟรีที่คล้ายกัน เช่น หมู่บ้านฟรีโคโรน่า upojela หรือเมือง เราใช้เทคนิคเดียวกับที่ประเทศใช้ คือ ไม่อนุญาตให้ศัตรูของเราเข้าสู่เขตปลอดอากรของเรา และเรายังคงยึดมั่นในสูตรเดิม คือ การระบุผู้ติดเชื้อและแยกพวกเขาออกจากคนอื่น ซึ่งคนในท้องถิ่นต้องทำ นั่นคือเหตุผลที่การรวมกำลังทางสังคมกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด นักสู้ที่สามารถรักษาพื้นที่ให้ว่างตลอดช่วงเวลาการบุกรุก จะถูกจดจำในประวัติศาสตร์
ผู้กู้นอกระบบอย่างถูกกฎหมาย (Microcredit) เป็นชุมชนที่มีระเบียบวินัย
NGOs มีโครงการสินเชื่อขนาดเล็กในทุกหมู่บ้านของประเทศ ผู้กู้ microcredit เป็นชุมชนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและมีระเบียบวินัย พวกเขามีประสบการณ์มากมายในการต่อสู้กับภัยพิบัติในฐานะชุมชน หากไม่มีโปรแกรม microcredit ทักษะการต่อสู้จากภัยพิบัติของพวกเขาจะไม่สามารถรอดพ้นจากอุทกภัยครั้งใหญ่และภัยพิบัติในท้องถิ่นอื่นๆ พวกเขาอาจถูกระดมทันทีเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุด NGOs สามารถจัดทำคู่มือภัยพิบัติ และระเบียบแบบแผน เพื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ทำอย่างไรจึงจะทนต่อภัยพิบัตินี้ด้วยวินัยและความกล้าหาญ วิธีที่พวกเขาสามารถทำงานร่วมกันได้ โดยไม่ต้องประชุมรายสัปดาห์ วิธีการรวมพลังกับผู้อื่น เพื่อปกป้องครอบครัวและหมู่บ้าน โชคดีที่ความแข็งแกร่งทางการเงินและองค์กรของพวกเขาจะเป็นประโยชน์อย่างมาก พวกเขาสามารถเป็นตัวอย่างในชุมชน เพื่อสนับสนุนให้ผู้อื่นอยู่บ้านอย่างต่อเนื่อง และเป็นผู้นำทางสังคมในการดูแลคนชรา และผู้อ่อนแอในชุมชน
มีสถาบันรัฐบาล ภาคเอกชน และสังคม หลายแห่งในประเทศ ที่มีเจ้าหน้าที่ภาคสนามจำนวนมากในชุมชนและเมืองต่าง ๆ ทุกองค์กรสามารถระดมพนักงานเพื่อต่อสู้กับภัยพิบัตินี้ ทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐหรือเอกชน จะต้องจัดทำกลยุทธ์การต่อสู้อย่างรวดเร็ว และฝึกอบรมพนักงานให้รับผิดชอบต่อพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาต้องรู้ว่า ความรับผิดชอบของพวกเขาคือใคร ได้รับความช่วยเหลือจากใคร
คำถามที่ไม่มีคำตอบ ที่จะต้องมีคำตอบในไม่ช้า
ระหว่างนี้ ผมกำลังค้นหาคำตอบสำหรับคำถามมากมายเหล่านี้:
- จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบปากต่อปากในช่วงภัยพิบัติ
- คนทั่วไปของประเทศจะอยู่รอดได้อย่างไร
- หลังจากภัยพิบัติจะมีชีวิตแบบใด รอคอยผู้คนหลังจากผ่านประสบการณ์นี้ พวกเขาจะเริ่มที่ไหน
- โครงสร้างทางเศรษฐกิจของโลกอาจล่มสลาย มันเริ่มทำงานอีกครั้งได้อย่างไร
- ใช้เวลานานแค่ไหนในการทำให้เศรษฐกิจของโลกและบังคลาเทศกลับมาดีดังเดิม
- โลกหลังเหตุการณ์ไวรัสโคโรนาจะเป็นอย่างไร มีแนวโน้มมากที่สุดที่โลกจะเหมือนเกิดใหม่
โลกเกิดใหม่อาจดูไม่เหมือนโลกที่เรารู้จักตอนนี้ มันแปลกที่คิดว่าเราจะต้องเผชิญกับโลกที่
ไม่คุ้นเคยภายใน 1 ปี ผู้คนจะเปลี่ยนแปลง สถาบันต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุด ความคิดของโลกจะเปลี่ยนไป - อสูรแห่งไวรัสโคโรนาออกมาจากขวด สัตว์ประหลาดตัวนี้จะกินทั่วโลกหรือไม่ โลกสามารถ
ให้ปีศาจตัวนี้กลับมาอยู่ในขวดได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งหรือไม่ มันจะเป็นโลกแบบไหนสำหรับเรา - โลกจะเป็นเช่นไร? บังคลาเทศจะเป็นเช่นไรสำหรับเรา
ที่มา : Yunus Centre, Dhaka, Bangladesh. (2020). Corona Pandemic: Time Is Running Out Fast.
แปลและเรียบเรียงภาษาไทยโดย Image Plus Communication Co. Ltd,.